ริ้นฝอยทรายแมลงพาหะนำโรคลิชมาเนียซิส
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ชำนาญ อภิวัฒนศร
ภาควิชากีฏวิทยาการแพทย์, คณะเวชศาสตร์เขตร้อน, มหาวิทยาลัยมหิดล
ริ้นฝอยทรายเป็นแมลงพาหะนำโรคลิชมาเนียซิส (leishmaniasis) ซึ่งเป็นสาเหตุของความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพที่แสดงออกได้หลากหลาย ตั้งแต่การติดเชื้อที่ผิวหนังก่อให้เกิดวิการของโรคที่ผิวหนัง (cutaneous leishmaniasis จนถึงการติดเชื้อที่อวัยวะภายใน (visceral leishmaniasis) ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ องค์การอนามัยโลกจัดอันดับให้เป็นโรคร้ายแรงมากที่สุดของมนุษย์รองลงมาจากมาลาเรีย เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กและผู้ใหญ่อย่างน้อย 15 ล้านคนใน 88 ประเทศ ประชากรโลกประมาณ 350 ล้านคนเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ แต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2 ล้านคนในทวีปอเมริกาตอนใต้ แอฟริกา และเอเชีย (WHO 2010) ในสองทศวรรษที่ผ่านมาโรคลิชมาเนียซิสติดเชื้อที่อวัยวะภายในจัดเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อฉวยโอกาสของผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำโดยเฉพาะที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี นอกจากนี้มันยังถูกจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคอุบัติใหม่แนวหน้าที่หลายประเทศให้ความสำคัญและจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพราะการระบาดกำลังแพร่กระจายออกไปส่วนอื่นของโลกเป็นวงกว้าง (Shaw 2007, Claborn 2010) การปรากฏตัวของโรคนี้ในประเทศไทยย้อนหลังไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2503 เรื่อยมาเป็นการนำโรคเข้าโดยชาวต่างชาติ จนถึง พ.ศ. 2527 จึงมีผู้ป่วยชาวไทยเป็นรายแรกซึ่งมีประวัติไปทำงานในประเทศแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญแหล่งหนึ่ง ช่วงเวลานั้นมีการส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศโดยเฉพาะแถบตะวันออกกลางมากเพราะสามารถทำรายได้เข้าประเทศถึง 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงเป็นที่วิตกกังวลว่าจะเกิดการระบาดของลิชมาเนียซิสในประเทศไทยเป็นวงกว้างอันเป็นผลมาจากการนำเชื้อเข้าแพร่ในประเทศโดยแรงงานจำนวนมหาศาลเหล่านี้แบบไม่ทันตั้งตัว ปีพ.ศ. 2539 นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ค้นพบผู้ป่วยรายแรกที่ติดเชื้อภายในประเทศที่อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี (สุริยะ คูหะรัตน์ 2541; Thisyakorn et al., 1999) หลังจากนั้นเป็นต้นมาพบผู้ป่วยชาวไทยสะสมทั้งหมด 23 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์ร่วมด้วย ในหลายจังหวัดเช่น กรุงเทพมหานคร, จันทบุรี, เชียงราย, นครศรีธรรมราช, น่าน, พังงา, ลพบุรี, สงขลา, สตูล และสุราษฎร์ธานี รายล่าสุดเป็นลิชมาเนียซิสชนิดเกิดแผลที่ผิวหนังรายแรก พบที่จังหวัดลพบุรี (Kattipathanapong et al., 2012) ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 7 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2530 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า “พบแมลงอันตรายแซนด์ฟลายในไทยกัดถึงตาย” รวมทั้งบทความของนายแพทย์สุภัทร สุจริต อาจารย์ประจำภาควิชากีฏวิทยาการแพทย์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อ “การถ่ายทอดโรค Leishmaniasis เป็นไปได้หรือไม่ในประเทศไทย” ถือเป็นศักราชเริ่มต้นของการค้นหาความจริงและความรู้ของแมลงกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ด้วยทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีพ.ศ. 2530-2531 ภาควิชากีฏวิทยาการแพทย์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อนได้ออกสำรวจริ้นฝอยทรายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ทำให้สามารถรวบรวมองค์ความรู้ของแมลงกลุ่มนี้และใช้เป็นต้นทุนการศึกษาริ้นฝอยทรายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ริ้นฝอยทรายเป็นแมลงโบราณสองปีกมีวิวัฒนาการยาวนานกว่า 200 ล้านปี กำเนิดมาบนโลกในยุคของสัตว์เลื้อยคลาน และอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อปรสิตให้สัตว์มีกระดูกสันหลังมานานกว่า 100 ล้านปีแล้ว ริ้นฝอยทรายยังจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตที่ยังคงสรีระแบบบรรพบุรุษดั้งเดิมในยุคก่อนประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้ ริ้นฝอยทรายมีถิ่นอาศัยตามเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย ยุโรปตอนใต้ และอเมริกา
ริ้นฝอยทรายเป็นแมลงพาหะที่มีศักยภาพสูงสามารถแพร่เชื้อก่อโรคติดต่อได้หลายประเภทตั้งแต่ไวรัสเช่น ไข้ริ้นฝอยทราย (sandfly fever หรือ Pappataci fever), ไข้สมองอักเสบชานดิปุระไวรัส (Chandipura virus encephalitis), เยื่อหุ้มสมองอักเสบฤดูร้อน (summer meningitis), โรคปากอักเสบพุพอง (vesicular stomatitis) เชื้อแบคทีเรียเช่น โรคคาร์เรียน (Carrion’s disease) และเชื้อปรสิตเช่น ลิชมาเนียซิส มันเป็นแมลงสองปีกขนาดเล็กประมาณหนึ่งในสามของยุง (2.5-3.5 มิลลิเมตร) มีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ลำตัวและปีกปกคลุมไปด้วยขนตั้งมัน ขณะเกาะพักมันตั้งปีกขึ้นบนหลังและกางออกเล็กน้อยเป็นรูปตัววีในอักษรภาษาอังกฤษ ริ้นฝอยทรายเป็นนักเดินทางระยะสั้นบินได้ไม่ไกลเกินกว่า 2.2 กิโลเมตร เพราะมีพฤติกรรมเฉพาะแบบบินสลับกระโดด ตลอดชีวิตของมันจึงออกหากินไม่ห่างจากแหล่งเพาะพันธุ์ ริ้นฝอยทรายเพาะพันธุ์ในดินที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์เน่าเปื่อยตามแหล่งที่มีความชื้นสูงและอุณหภูมิคงที่ เช่น พื้นถ้ำ พื้นป่าที่มีเศษใบไม้ทับถม โพรงไม้ จอมปลวก คอกสัตว์เลี้ยง โพรงสัตว์กัดแทะ รอยปริตามผนังดินของบ้าน เป็นต้น รอบวงจรชีวิตหนึ่งใช้เวลานานกว่า 1 เดือนในดิน ความชุกชุมรายปีแปรผันตามวัฏจักรแห่งฤดูกาลและปัจจัยทางชีวภาพที่แวดล้อมโดยรอบ ริ้นฝอยทรายออกหาอาหารเลือดในเวลาโพล้เพล้หรือกลางคืนเพื่อนำสารอาหารจากเลือดช่วยการเจริญเติบโตของไข่ มันกินเลือดเหยื่อแบบดูดจากกองเลือด (pool feeder) คือกัดเคี้ยวผิวหนังอย่างรุนแรงจนเกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้เลือดไหลออกมากองรวมกันเป็นแอ่ง เพื่อให้มันดูดกินเลือดได้อย่างง่าย ด้วยเหตุนี้การกัดของริ้นฝอยทรายจึงสร้างความเจ็บปวดมากเทียบเคียงคล้ายโดนน้ำมันร้อนลวกหรือบุหรี่จี้ การแพร่เชื้อระยะติดต่อเกิดขึ้นในเวลานี้ เชื้อลิชมาเนียใช้เวลาเจริญเติบโตเต็มที่ในริ้นฝอยทรายประมาณ 6-9 วันขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ริ้นฝอยทรายแต่ละชนิดชอบกินเลือดเหยื่อแตกต่างกันไปทั้งที่เป็นสัตว์เลือดอุ่น (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งคน สัตว์ปีก) และสัตว์เลือดเย็นจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
สำหรับประเทศไทยริ้นฝอยทรายเป็นแมลงประจำถิ่นกลุ่มหนึ่งมีการแพร่กระจายทั่วไปทั้งประเทศ อาศัยชุกชุมในถ้ำหินปูน และถ้ำนกนางแอ่นกินรังริมทะเล และพบกระจัดกระจายตามสถานที่และชุมชนต่างๆ เช่น โบราณสถาน (ปราสาทหินทราย, วัด) บ้านร้าง เกาะพักเวลากลางวันอยู่ใน ผนังถ้ำ โพรงไม้ ซอกหิน จอมปลวก หลุมหลบภัย รอบบริเวณบ้านอาศัย เป็นต้น ริ้นฝอยทรายไทยพบครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครเมื่อพ.ศ. 2474 โดยนายแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ John Alexander Sinton (Sinton 1931) ปัจจุบันค้นพบแล้วอย่างน้อย 28 ชนิดจากสายพันธุ์ทั่วโลกทั้งหมดมากกว่า 700 ชนิด (Polseela et al., 2011) ริ้นฝอยทรายไทยส่วนใหญ่ไม่กัดคนทำให้การแพร่โรคในบ้านเราไม่ปกติเช่นที่พบในหลายประเทศ การค้นพบที่มีความสำคัญทางระบาดวิทยาของโรคลิชมาเนียซิสคือ การพบริ้นฝอยทราย 2 ชนิดคือ Phlebotomus major major และ P. hoepplii ที่กินเลือดคนเป็นครั้งแรกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสายพันธุ์ที่กินเลือดวัวคือ P. argentipes และ P. major major ในอัตราเข้ากัดต่ำมาก (Apiwathnasorn et al., 1989; 1993; 2011) ซึ่งเป็นข้อมูลยืนยันว่าในภูมิภาคนี้มีริ้นฝอยทรายที่กัดคนได้ไม่ใช่ไม่มีอย่างที่เคยรับรู้มา นอกจากนี้ยังพบริ้นฝอยทรายชนิด Sergentomyia gemmea ที่สงสัยว่าอาจเป็นพาหะนำเชื้อลิชมาเนียสายพันธุ์ไทย Leishmania siamensis ในบ้านเรา (Bualert et al., 2012; Kanjanopas et al., 2013 ) อย่างไรก็ตามยังต้องทำการศึกษาวิจัยริ้นฝอยทรายชนิดนี้ในรายละเอียดต่อไปเพื่อยืนยันว่ามันเป็นพาหะแพร่ลิชมาเนียซิสในประเทศไทย เพราะยังไม่พบหลักฐานว่ามันกัดกินเลือดคนเลย สุดท้ายระหว่างพ.ศ. 2549-2554 มีการค้นพบริ้นฝอยทรายสายพันธุ์ไทยชนิดใหม่ของโลก 4 ชนิดจากถ้ำหินปูนได้แก่ Chinius barbazani (Depaquit et al., 2006), P. mascomai (Muller et al., 2007), P. barguesae (Depaquit et al., 2009) และ S. phasukae (Curler 2011) จึงนับได้ว่าริ้นฝอยทรายเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อการศึกษาวิจัยเชิงวิวัฒนาการ อนุกรมวิธาน ชีวนิเวศ ระบาดวิทยา และปฎิสัมพันธ์ระหว่างเชื้อก่อโรค
เอกสารอ้างอิง
สุริยะ คูหะรัตน. การสอบสวนโรคเฉพาะราย Visceral Leishmaniasis ในคนไทยรายที่ 6 อ. ชัยบุรี จ.สุราษฎรธานีกันยายน - ตุลาคม 2539. แนวทางการเฝาระวังและสอบสวนโรคติดต่อที่เปนปญหาใหม 2541; 52-62.
Apiwathnasorn C, Sucharit S, Rongsriyam Y, Leemingsawat S, Kerdpibule V, Deesin T, Surathin K, Vutikes S, Punavuthi N: A brief survey of Phlebotomine sandflies in Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 1989, 20: 429-432.
Apiwathnasorn C, Sucharit S, Surathinth K, Deesin T. Anthropophilic and zoophilic Phlebotomine sand flies (Diptera: Psychodidae) from Thailand. J Am Mosq Control Assoc 1993; 9(2): 135-137.
Apiwathnasorn C, Samung Y, Prummongkol S, Phayakaphon A, Panasopolkul C. Cavernicolous species of Phlebotomine sand flies from Kanchanaburi province, with an updated species list for Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2011b; 42(6): 1-5.
Bualert L, Charungkiattikul W, Thongsuksai P, Mungthin M, Siripattanapipong S, Khositnithikul R, Naaglor T, Ravel C, El Baidouri F, Leelayoova S. Autochthonous disseminated dermal and visceral leishmaniasis in an AIDS patient, southern Thailand, caused by Leishmania siamensis. Am J Trop Med Hyg 2012; 86(5): 821-824.
Claborn DM. The Biology and control of leishmaniasis vectors. J Glob Infect Dis 2010; 2(2): 127-134.
Curler GR. Records of phlebotomine sand flies (Diptera, Psychodidae, Phlebotominae) with a description of a new species of Sergentomyia França & Parrot from Khao Yai National Park, Thailand. Zootaxa 2011; 2806: 60-68.
Depaquit J, Léger N, Beales P. Chinius barbazani n. sp. de Thaïlande (Diptera: Psychodidae). Parasite 2006; 13: 151-8.
Depaquit J, Muller F, Léger N. Phlebotomus (Euphlebotomus) barguesae n. sp. from Thailand (Diptera - Psychodidae). Parasit Vectors 2009; 2: 5.
Kattipathanapong P, Akaraphanth R, Krudsood S, Riganti M, Viriyavejakul P. The first reported case of autochthonous cutaneous leishmaniasis in Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Hlth 2012; 43(1): 17-20.
Kanjanopas K, Siripattanapipong S, Ninsaeng U, Hitakarun A, Jitkaew S, Kaewtaphaya P, Tanariya P, Mungthin M, Charoenwong C, Leelayoova S. Sergentomyia (Neophlebotomus) gemmea, a potential vector of Leishmania siamensis in southern Thailand. BMC Infect Dis 2013; 13: 333.
Muller F, Depaquit J, Léger N. Phlebotomus (Euphlebotomus) mascomai n. sp. (Diptera-Psychodidae) Parasitol Res 2007;101:1597–1602.
Polseela R, Vitta A, Nateeworanart S, Apiwathnasorn C. Distribution of cave-dwelling phlebotomine sand flies and their nocturnal and diurnal activity in Phitsanulok Province, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth. 2011b; 42(6): 1395-1404.
Shaw JJ. The Leishmaniases- survival and expansion in a changing world. A mini-review. Mem Inst Oswaldo Cruz 2007, 102: 541-547.
Sinton JA. Phlebotomus stantoni Newstead, 1914 and some other Siamese Sandflies. Ind J Med Res, Calcutta 1931; 99-106.
Thisyakorn U, Jongwutiwes S, Vanichsetakul P, Lertsapcharoen P. Visceral Leishmaniasis: the first indigenous case report in Thailand. Trans R Soc Trop Med Hyg. 1999; 93(1): 23-24.
World Health Organisation. Control of the Leishmaniasis. WHO Tech Rep Ser 2010; 949: 1-186.
|