โรคไข้เลือดออก
รองศาสตราจารย์ชูเกียรติ ศิริวิชยกุล
สาเหตุของโรค
เกิดจากไวรัสเดงกีซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อครั้งแรกมักจะมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการมักจะรุนแรงถึงขั้นเลือดออกหรือช็อกหรือเสียชีวิต โรคนี้พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
การติดต่อ
โรคนี้ติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง หลังจากนั้นยุงจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวตลอดชีวิตของยุง (ประมาณ 1-2 เดือน) และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกกัดได้ ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณรอบบ้าน มักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่างๆ เช่น โองน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น
โดยทั่วไปโรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เนื่องจากยุงลายมีการแพร่พันธุ์มาก แต่อาจพบโรคนี้ได้ประปรายตลอดปี ปัจจุบันพบว่ายุงลายสวน (Aedes albopictus) ซึ่งอาศัยอยู่และเพาะพันธุ์ตามสวนนอกบ้าน เป็นพาหะนำโรคนี้บ่อยกว่าในอดีต
อาการ
ในการติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (80 – 90%) มักไม่แสดงอาการ แต่บางคนมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก มีผื่นที่ผิวหนังได้ แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่สองโดยเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาจเป็นไข้เลือดออก ซึ่งมีอาการสำคัญแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ
1. ระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เด็กบางคนอาจชักเนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัวแขน ขา ระยะนี้จะเป็นอยู่ราว 2 – 7 วัน
2. ระยะช็อก ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง ผู้ป่วยจะซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ในรายที่รุนแรงจะมีความดันต่ำ ช็อกและอาจถึงตายได้ ระยะนี้กินเวลา 24 – 48 ชั่วโมง
3. ระยะฟื้น อาการต่างๆ จะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรัปประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะออกมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว
การวินิจฉัย
เกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก คือ
1. มีไข้สูง
2. มีเลือดออกง่าย (ทดสอบโดยการรัดแขนแล้วพบจุลเลือดออกที่ผิวหนัง หรือมีจ้ำเลือดตามตัว หรือมีเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน)
3. เจ็บชายโครงขวาเนื่องจากตับโต
4. ช็อก
5. เกร็ดเลือดต่ำ
6. เลือดข้นขึ้น หรือมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
สามารถยืนยันการวินิจฉัยโดยการตรวจน้ำเหลืองหรือเพาะเชื้อไวรัสจากเลือด
การรักษา
เนื่องจากยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดโดยให้ยาพาราเซทตามอลในช่วงที่มีไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพรินเพราะจะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ยาแก้คลื่นไส้และดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันภาวะช็อกได้ ระยะที่เกิดการช็อกส่วนใหญ่จะเกิดพร้อมๆ กับช่วงที่ไข้ลดลงผู้ปกครองควรทราบอาการก่อนที่จะช็อก คือ อาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อมๆ กับไข้ลดลง หน้ามือ เป็นลมง่าย หากเป็นดังนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การป้องกัน
1. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งแม้ในเวลากลางวัน หรือทายาป้องกันยุง
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงในบ้าน รวมทั้งบริเวณรอบๆ บ้าน
- ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน
- กำจัดภาชนะแตกหักที่ขังน้ำ เช่น ยางรถเก่า กระถาง
- เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือ แหล่งน้ำอื่นๆ
- ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆ ให้มิดชิด หรือใส่ทรายเคมีกำจัดลูกน้ำ (Temephos) ในภาชนะที่เก็บน้ำไว้ใช้
- ใส่เกลือหรือน้ำสัมสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าว
ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีน แต่คาดว่า ประมาณปีหน้าวัคซีนอาจได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ อย่างไรก็ตามวัคซีนป้องกันโรคได้ประมาณ 50 % เท่านั้น ดังนั้นการป้องกันยุงกัดยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
|