คุณชาติชายอาชีพไกด์นำเที่ยว พาฝรั่งมาหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะ คุณชาติชายจะพาฝรั่งไปเที่ยวป่าและน้ำตกแถวกาญจนบุรี แต่ฝรั่งบอกว่า เมืองไทยมีมาลาเรีย (หรือสมัยก่อนเราเรียกว่าไข้ป่า) ชุกชุม ขอให้คุณ ชาติชายพามาปรึกษาหมอเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และขอยาป้องกันโรคนี้ ซึ่งคำถามของคุณชาติชายและฝรั่งน่าสนใจ และคนทั่วไปน่าจะรู้เช่นกัน |
ชาติชาย | : | เมืองไทยยังมีมาลาเรียอยู่หรือครับ เคยได้ยินตอนเด็กๆ แต่นานแล้วที่ ไม่ได้ยินว่ามีคนเป็นโรคนี้ | ||
หมอ | : | มาลาเรียยังเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก มีคนตายปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่พบในประเทศแถบแอฟริกา ในเมืองไทยยังมีอยู่บ้าง มักพบตามจังหวัด ชายแดน เช่น ตาก ระนอง ยะลา แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี แต่จะไม่พบใน ตัวเมือง จะพบเฉพาะในบริเวณที่เป็นป่าเขาค่ะ | ||
ชาติชาย | : | มาลาเรียเกิดจากอะไรครับ | ||
หมอ | : | มาลาเรียเกิดจากเชื้อโรคโปโตซัว มีชื่อว่า "พลาสโมเดียม"ในเมืองไทยเจอ หลายชนิด แต่ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด คือ | ||
1. ชนิดรุนแรง ชื่อ พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม เรียกย่อๆ ว่า พี-เอฟ จะมีอาการ
หนักถึงขั้นหมดสติ และถ้าไม่ได้รักษา อาจตายในเวลาอันรวดเร็ว 2. ชนิดเรื้อรัง ชื่อ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ เรียกย่อๆ ว่า พี-วี อาการไม่ค่อย รุนแรงถึงตาย แต่ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง เชื้อจะอยู่ในร่างกายถึง 2 ปี หรือนานกว่านี้ ทำให้มีอาการเป็นๆ หายๆ โรคนี้ติดต่อสู่คนโดยยุ่งก้นปล่อง เมื่อยุงก้นปล่องกัดและดูดเลือดคนที่มีเชื้อนี้อยู่ เชื้อจะเพิ่มจำนวนในยุง และติดต่อสู่คนอื่นที่มันกัดได้ค่ะ |
||||
ชาติชาย | : | ทำไมพบมาลาเรียเฉพาะในป่าเขา ไม่พบในเมืองครับ | ||
หมอ | : | เพราะยุงก้นปล่องจะอาศัยอยู่ในป่าเขา และบริเวณชายแดนยังมีคนที่เป็นโรค นี้อยู่ ทำให้ติดต่อผ่านยุงมาสู่คนอื่นๆ ได้ค่ะ | ||
ชาติชาย | : | แล้วโรคนี้รักษายากไหมครับ | ||
หมอ | : | ไม่ยากค่ะ แต่ต้องฉีดยาหรือกินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัดเพราะปัจจุบัน มีเชื้อดื้อยามากขึ้น ถ้ารักษาไม่ครบอาจทำให้ไม่หายขาดและยังทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้น |
||
ชาติชาย | : | เห็นฝรั่งบอกว่ามียาป้องกันโรคได้หรือครับ | ||
หมอ | : | เราควรป้องกันมาลาเรียเมื่อเดินทางไปในบริเวณที่เป็นป่าเขาที่ยังมีโรคนี้อยู่
แต่ปัจจุบันในเมืองไทยไม่แนะนำให้กินยาป้องกันมาลาเรีย เพราะมาลาเรียใน
เมืองไทยค่อนข้างน้อย พบการระบาดเฉพาะในบางฤดูเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่มียา
ขนานใดที่ป้องกันโรคได้ 100% จึงแนะนำให้ป้องกันด้วยวิธีอื่น เช่น • สวมเสื้อผ้ามิดชิด • ทายากันยุง • นอนในมุ้ง • ใช้ยาฉีดพ่น หรือจุดยากันยุง |
||
ทั้งนี้ยกเว้นบางคนที่อาจจำเป็นต้องกินยาป้องกัน เช่น นักท่องเที่ยวหรือคนที่ภูมิ คุ้มกันผิดปกติ ควรปรึกษาหมอเป็นรายๆ ไป |
||||
ชาติชาย | : | ที่คุณหมอบอกนี่ ถ้าทำตามแล้วจะไม่เป็นมาลาเรียแน่ๆ | ||
หมอ | : | การป้องกันไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล 100% ดังนั้น ถ้าเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มี มาลาเรียแล้วสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรจะรีบไปตรวจหาเชื้อมาลาเรียทันทีตาม โรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เจ้าหน้าที่จะเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว แค่เล็กน้อย เพื่อไปตรวจหาเชื้อโดยย้อมสีแล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ | ||
ชาติชาย | : | แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่จะสงสัยว่าเป็นมาลาเรียครับ | ||
หมอ | : | อาการของมาลาเรีย แรกๆ จะมีอาการเหมือนเป็นหวัด ประมาณ 2-3 วัน แล้วก็จะเข้าสู่ช่วงจับไข้ ซึ่งช่วงจับไข้จะมี 3 ระยะ คือ | ||
1. ระยะหนาว - จะรู้สึกหนาวสั่น ปากซีด ใจสั่น ตัวเย็น ห่มผ้าก็ไม่หาย พอ 1-2
ชั่วโมงต่อมาก็จะเข้าสู่ระยะร้อน 2. ระยะร้อน - จะมีไข้สูง หน้าแดง กระหายน้ำ ประมาณ 1-4 ชั่วโมง ก็จะเข้า สู่ระยะเหงื่อ 3. ระยะเหงื่อ - หลังจากหนาวๆ ร้อนๆ ก็จะเริ่มมีเหงื่อออก เพลีย แล้วก็จะหายจน เหมือนคนปกติ หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็จะมีอาการทั้ง 3 อีกครั้ง สลับกันไปเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันคนไข้หลายคนมีแต่ไข้ โดยไม่มีอาการที่แบ่งเป็น 3 ระยะชัดเจน และ หากโชคร้ายเป็นพี-เอฟ อาจมีอาการรุนแรงอย่างรวดเร็ว อาจซึม ชัก หอบ และตายได้ ดังนั้นคนที่เดินทางเข้าไปในถิ่นที่มีมาลาเรียแล้วมีไข้ ควรหาหมอเพื่อตรวจหาเชื้อ มาลาเรียทุกครั้ง อย่างน้อยในช่วง 2 เดือนแรกหลังออกจากถิ่นที่มีมาลาเรีย |
||||