หน้าแรก

โรคเห็บ

โรคเหา

โรคหิด

โรคไข้สมองอักเสบเจอี

โรคฉี่หนู

โรคปอดบวม

โรคพิษสุนัขบ้า

โรคไข้เลือดออก

โรคไข้ไรอ่อน

โรคไข้ดิน

โรคชิคุนกุนยา

โรคไข้หวัดใหญ่

โรคพยาธิปากขอ

โรควัณโรค

โรคพยาธิหอยโข่ง

โรคพยาธิเข็มหมุด

โรคพยาธิใบไม้ตับ

โรคหนอนพยาธิ

โรคพยาธิตัวจี๊ด

โรคพยาธิตัวตืด

โรคพยาธิตัวบวม

โรคมาลาเรีย

โรคหน่อไม้ปี๊บ

โรคอะมีบากินสมอง

โรคอุจจาระร่วง

 


 
  ๐ อาการท้องเสีย
 
     เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีใครที่ไม่เคยท้องเสีย คำว่า "ท้องเสีย" เป็นภาษาพูดที่หมายถึงการที่คนเราถ่ายเหลวผิดปกติ แต่ในทางการแพทย์ เราจะใช้คำว่า "อุจจาระร่วง" (diarrhea) มากกว่า ซึ่งความหมายต่างกับท้องเสีย เล็กน้อย กล่าวคือ "อุจจาระร่วง" หมายถึงการที่คนเราถ่ายอุจจาระเหลวผิดจากปกติ ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน หรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือดแม้เพียง ครั้งเดียว ซึ่งการที่กำหนดเช่นนั้นก็เพื่อความสะดวกในการดูแลคนไข้ โดยคนไข้ที่มี อาการอุจจาระร่วง มักจะเกิดจากโรคที่อาจจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาจากหมอ ขณะที่อาการท้องเสียเล็กน้อยไม่ถึงขั้นอุจจาระร่วงมักหายเองได้ โดยไม่ต้องรับการ ดูแลใดๆ

     โรคอุจจาระร่วงยังสามารถแบ่งได้ตามระยะเวลาที่ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อุจจาระร่วงเฉียบพลัน (หมายถึง มีอาการอุจจาระร่วงน้อยกว่า 7 วัน) และ อุจจาระ ร่วงยืดเยื้อหรือเรื้อรัง (หมายถึง มีอาการอุจจาระร่วงนานกว่า 7 วัน) ในที่นี้จะเขียนถึง อุจจาระร่วงเฉียบพลัน ซึ่งพบได้บ่อยกว่าและประชาชนทั่วไปควรรู้จัก ส่วนอุจจาระร่วง ยืดเยื้อเรื้อรังเป็นโรคที่พบไม่บ่อย แต่มีสาเหตและการรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก ผู้ที่เป็น โรคอุจจาระร่วงยืดเยื้อเรื้อรังจึงควรหาหมอเพื่อตรวจรักษาทุกราย

     โดยทั่วไปหมอจะแบ่งอุจจาระร่วงออกเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะของอุจจาระ คือ อุจจาระเป็นน้ำหรือเหลว และอุจจาระเป็นมูกเลือด ซึ่งการรักษาทั้ง 2 กลุ่มจะแตกต่าง กัน ดังนั้นเวลาที่คนไข้อุจจาระร่วงไปหาหมอ หมอจะถามเสมอว่าลักษณะอุจจาระเป็น อย่างไร มีมูกเลือดหรือมีเลือดปนหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้หมอจะตรวจอุจจาระเสมอ และอาจนำอุจจาระไปเพาะหาเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้ที่มีอาการรุนแรงหรือ ต้องนอนโรงพยาบาล


  อุจจาระร่วงเป็นน้ำ มีสาเหตุที่พบบ่อยหรือที่สำคัญดังนี้

  1. อาหารเป็นพิษ

     โรคนี้มักเกิดในฤดูร้อน มักจะเกิดจากอาหารที่ปรุงไว้ล่วงหน้านานๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหากมีการห่ออาหารไว้อย่างหนาแน่น เชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ปนเปื้อนใน อาหารจะจเริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่อุ่นพอเหมาะ ในภาวะที่ไม่มีออกซิเจน และ สร้างสารพิษออกมา สารพิษดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดท้องแบบบิดๆ เป็นพักๆ บางครั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการดังกล่าวมักเกิดหลังกินสารพิษเข้าไป 2 ถึง 12 ชั่วโมง สารพิษนี้บางชนิดถูกทำลายได้ด้วยความร้อน แต่บางชนิดก็ไม่ สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นบางครั้งแม้จะนำอาหารดังกล่าวมาอุ่นใหม่ก่อน รับประทานอาหาร ก็ยังทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงต้อง รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ เท่านั้น

    ลักษณะที่เด่นชัดของโรคนี้อีกประการหนึ่งคือมักเกิดในคนที่กินอาหารแบบเดียว กันพร้อมกันหลายคน แต่บางคนอาจมีอาการมาก บางคนมีอาการน้อย โรคนี้หาย ได้เองแต่คนไข้บางคนที่มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายมาก หรืออาเจียนมาก ก็จำเป็นต้อง ได้รับการรักษา โดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดดำ ให้ยาแก้ปวดท้อง แก้อาเจียน
     
  2. ติดเชื้อไวรัสโรตา

    เชื้อไวรัสโรตาเป็นเชื้อโรคขนาดเล็กมากชนิดหนึ่ง มักก่อให้เกิดโรคในเด็กเล็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี มีลักษณะพิเศษคือมักเกิดในฤดูหนาว ขณะที่โรคอุจจาระร่วงจาก สาเหตุอื่นๆ มักเกิดในฤดูร้อน เด็กอาจมีไข้ต่ำๆ มีอาการคล้ายหวัดแล้วตามด้วย อุจจาระร่วง อาเจียน หรือบางคนอาจไม่มีอาการหวัดก็ได้ อุจจาระจะมีลักษณะเป็นน้ำ บางคนมีอาการน้อยและหายได้เอง แต่บางคนจะมีอาการมากจนต้องเข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาล โรคนี้มีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ เชื้อโรคจะทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้ลดการหลั่งน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม นมที่ไม่ย่อยจะถูก แบคทีเรียในลำไส้สลายเกิดเป็นกรด และทำให้อุจจาระร่วงมากขึ้นอีก เด็กจะถ่าย เป็นน้ำพุ่งและเป็นฟอง บริเวณก้นจะแดงเนื่องจากการระคายเคืองจากอุจจาระที่เป็น กรด เด็กที่หมอสงสัยว่าจะย่อยนมไม่ได้ อาจแนะนำให้งดนม หรือเปลี่ยนเป็นนมสูตร พิเศษที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เช่นนมที่ทำจากถั่วเหลือง กินประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นนมตามปกติ

    โรคนี้สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้ทางอุจจาระของคนไข้ ดังนั้น เด็กที่เป็นโรคไม่ ควรคลุกคลีกับเด็กอื่น ผู้ดูแลเด็กที่เป็นโรคควรหมั่นล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด โรคนี้ สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน โดยปัจจุบันมีวัคซีนชนิดกิน ให้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ แต่ราคายังแพงค่อนข้างมาก

  3. อหิวาตกโรค

     โรคนี้ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่พบบ่อย แต่ก็เป็นโรคที่มีความสำคัญ เนื่องจากคนไข้ อาจมีอุจจาระร่วงรุนแรง และหากให้การรักษาไม่ทันท่วงทีก็อาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ โรคติดต่อได้ง่ายทางอาหารและน้ำ คนเป็นโรคนี้จากการกินน้ำหรืออาหารที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรคนี้ปนอยู่เข้าไป บางครั้งอาจมีการระบาดของโรคนี้ได้ แต่โชคดีที่เชื้อ อหิวาตกโรคถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นการกินอาหารที่ทำให้สุกด้วยความร้อน จะป้องกันโรคนี้ได้

    ลักษณะที่เด่นชัดของโรคนี้คือ คนไข้จะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำพุ่งครั้งละมากๆ และบ่อย บางคนจะถ่ายอุจจาระเป็นลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าว คนไข้จะเสียน้ำอย่างรวด เร็วจนความดันโลหิตต่ำ (ที่เราเรียกว่าช็อก) และเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม คนที่ติด เชื้อโรคนี้บางคนอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการอุจจาระร่วงไม่รุนแรง ดังนั้นหากเกิดการ ระบาด ผู้สัมผัสโรคอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจและรักษา แม้จะมีอาการไม่มาก ก็ตาม

    ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคนี้ได้ มีทั้งชนิดฉีดและกิน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ โดยทั่วไป ยกเว้นคนที่จะเดินทางไปในประเทศที่มีโรคนี้ชุกชุม เช่น อินเดีย บังคลาเทศ อาจรับวัคซีนก่อนการเดินทางเพื่อป้องกันโรค

     นอกจากที่กล่าวแล้ว การติดเชื้อโรคอื่นๆ ในลำไส้ ทั้งจากแบคทีเรีย พยาธิ และไวรัส ก็อาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงเป็นน้ำได้ แต่มักจะไม่ค่อย มีความสำคัญ
 
 
     
 
    คนที่อุจจาระร่วงเป็นน้ำ เมื่อไหร่จึงควรไปหาหมอ

    โรคอุจจาระร่วงเป็นน้ำ ส่วนใหญ่เป็นโรคที่หายได้เอง ไม่ต้องใช้ยารักษาเฉพาะ โรคยกเว้นอหิวาตกโรคที่ต้องใช้ยาเพื่อฆ่าเชื้อ การรักษาที่สำคัญคือการให้น้ำและ เกลือแร่ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียทางอุจจาระและจากการอาเจียน ในคนไข้ที่มี อาการไม่มาก อาจให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือที่เรามักรู้จักกันในชื่อ "โอ-อาร์-เอส (ORS) " จิบแทนน้ำบ่อยๆ แต่ที่ต้องทำความเข้าใจคือ โอ-อาร์-เอส จะทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไปเท่านั้น ไม่ได้ทำให้หยุดถ่ายทันที และที่สำคัญอีก ประการหนึ่งคือ โอ-อาร์-เอส ที่เป็นผง ต้องผสมน้ำกับปริมาณที่ถูกต้องตามที่ระบุ ในสลากยา หากผสมเข้มข้น หรือเจือจางเกินไป อาจทำให้ไม่ค่อยได้ผล หรือเกิด ภาวะแทรกซ้อนได้

    หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรกินยาที่ทำให้หยุดถ่ายทันที เนื่องจากอาจก่อให้เกิด ผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ท้องอืด ถ่ายอุจจาระนานขึ้น ในเด็กเล็กอาจทำให้เด็กหยุด หายใจได้

    คนที่ควรหาหมอ คือคนไข้ที่อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระบ่อยมาก หรือขาดน้ำรุนแรง หรือเป็นนานเกิน 1 วัน แล้วยังไม่ดีขึ้น คนที่มีอาการมาก หมออาจรับเข้ารักษาใน โรงพยาบาล เพื่อให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เราควรรู้ว่าอาการอะไรที่บอกว่าคนไข้ ขาดน้ำรุนแรง ในผู้ใหญ่ จะมีอาการอ่อนเพลียมาก หน้ามืด ใจสั่น ตาโหล เป็นตะคริว ปัสสาวะออกน้อยและสีเข้ม ส่วนในเด็กเล็กเนื่องจากเด็กจะไม่รู้อาการหน้ามืด ใจสั่น เป็นอย่างไร ดังนั้น ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตสีและปริมาณปัสสาวะ และดูอาการตาโหล ริมฝีปากแห้ง กระหม่อมบุ๋ม ซึมหรือกระสับกระส่าย ไม่เล่นตามปกติ หากมีอาการ ดังกล่าวควรรีบหาหมอทันที


  อุจจาระเป็นมูกเลือด มีสาเหตุใหญ่ๆ 2 กลุ่มคือ

  1. เชื้อแบคทีเรีย

     เกิดได้จากเชื้อหลายชนิด ที่พบบ่อยคือ เชื้อชิเกลลา และซัลโมเนลลา

    อุจจาระร่วงจากเชื้อชิเกลลา (บางคนเรียกโรคบิดไม่มีตัว) มีลักษณะสำคัญ คือ มีไข้ บางคนมีไข้สูงมาก เด็กเล็กอาจชักจากไข้สูง ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดกะปริด กะปรอย แต่บางคนในระยะแรกอาจถ่ายเป็นน้ำก่อน ระยะหลังจึงถ่ายเป็นมูกเลือด มีอาการปวดท้องบิดเป็นพักๆ และปวดถ่วงๆ บริเวณทวารหนักเหมือนถ่ายอุจจาระ ไม่สุด ถ้าตรวจอุจจาระจะพบเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ โรคนี้เกิดจากการกิน อาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรได้รับยาเพื่อกำจัดเชื้อโรค จึงควรหาหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
    
    สำหรับเชื้อซัลโมเนลลา เป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไปในสัตว์หลายชนิด เช่น เป็ด ไก่ หมู รวมถึงสัตว์เลื้อยคลาน เช่น กิ้งก่าอีกัวนาที่บางคนชอบเลี้ยงในบ้าน หรือจิ้งจก หรือสัตว์อื่น เช่น แมลงสาบ คนจึงติดเชื้อนี้ได้ทั้งจากอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อนี้และจาก สัตว์ต่างๆ คนที่ป่วยเป็นอุจจาระร่วงจากเชื้อนี้อาจถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเป็นมูก มีไข้ และคลื่นไส้อาเจียนได้ คนที่ถ่ายเป็นน้ำจากเชื้อนี้มักหายได้เอง ยกเว้นเด็กเล็กๆ หรือ คนชรา หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ อาจเกิดโรครุนแรงหรือเกิดโรคแทรกซ้อนได้ จึงควรหาหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

  1. เชื้ออะมีบา

     อะมีบาเป็นเชื้อโปรโตซัว มีขนาดใหญ่กว่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อนี้ทำให้ถ่ายอุจจาระ เป็นมูกเลือดได้คล้ายกับอุจจาระร่วงจากเชื้อชิเกลลา บางคนเรียกโรคนี้ว่าโรคบิดมีตัว ที่ต่างกันคือคนไข้โรคนี้มักมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ บางครั้งอุจจาระจะมีลักษณะเฉพาะ คือมีกลิ่นเหมือนกุ้งเน่า โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือการเกิดฝีบิดในตับ ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรได้รับยาเพื่อกำจัดเชื้อโรค ซึ่งยาที่ใช้จะต่างกับยาที่รักษาโรคบิดไม่มีตัว จึงควรหา หมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
 
   
 
 
    เราลองมาทายว่าคนไข้ต่อไปนี้มีอุจจาระร่วงจากอะไรกันบ้าง

 
คนไข้รายที่ 1

     กลุ่มเด็กมาโรงพยาบาลตอนบ่าย เนื่องจากมีอาการอาเจียน และอุจจาระร่วง พร้อมกันหลายคน ถามประวัติได้ว่าเด็กกลุ่มนี้ไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด มีการซื้ออาหาร กล่องตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเป็นอาหารกลางวัน หลังกินอาหารประมาณ 3 ชั่วโมงก็เริ่มมี อาการอาเจียน ปวดมวนท้อง เป็นพักๆ แล้วตามด้วยท้องเสีย บางคนที่เป็นมากหมอ ก็รับไว้รักษาในโรงพยาบาล คนที่เป็นน้อยก็ให้ยาและน้ำเกลือไปกินที่บ้าน

เฉลย : อาหารเป็นพิษ


 คนไข้รายที่ 2

     เด็กอายุ 2 ปี มาตรวจที่โรงพยาบาล คุณแม่ให้ประวัติว่ามีไข้สูง 1 วันก่อนมา โรงพยาบาล หลังจากมีไข้สักพักก็เริ่มถ่ายอุจจาระบ่อยทีละเล็กน้อย แรกๆ เป็นเนื้อ อุจจาระเหลวๆ ต่อมามีมูกปน และหลังๆ สังเกตว่ามีสีแดงๆ คล้ายเลือดปน การตรวจ อุจจาระพบว่ามีเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวในอุจจาระ

เฉลย : บิดไม่มีมีตัว


 คนไข้รายที่ 3

     เด็กอายุ 9 เดือน มาตรวจที่โรงพยาบาล ในเดือนธันวาคม คุณแม่ให้ประวัติว่า เด็กมีไข้ต่ำๆ น้ำมูกใสๆ เล็กน้อย และมีถ่ายอุจจาระเป็นน้ำครั้งละค่อนข้างมาก ถ่ายพุ่ง และเป็นฟอง อาเจียนหลายครั้ง เป็นมา 2 วัน หมอตรวจพบว่าเด็กมีปากแห้ง ตาโหล ก้นแดง จึงรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

เฉลย : ไวรัสโรตา


 คนไข้รายที่ 4

     ผู้ชาย อายุ 30 ปี มาโรงพยาบาลเพราะมีอุจจาระร่วงเป็นน้ำมา 1 วัน โดยถ่าย เป็นน้ำพุ่งครั้งละมากๆ คลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย หลังจากถ่ายอุจจาระมากๆ แล้วมี อาการไม่มีแรง หน้ามืด ปวดหลัง ขาเป็นตะคริว หมอตรวจพบว่าคนไข้ปากแห้ง ตาโหล ชีพจรเบาและเร็ว ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ จึงรีบให้น้ำเกลือและรับไว้รักษา ในโรงพยาบาล

เฉลย : อหิวาตกโรค


 คนไข้รายที่ 5

     ผู้หญิง อายุ 35 ปี มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง ถ่ายเป็นน้ำ 3 ครั้ง วันต่อมามีอาการปวดท้องมากขึ้น กดที่ท้องจะเจ็บมาก คนไข้จึงมาโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่ามีไข้ และกดเจ็บบริเวณท้องด้านขวา บริเวณต่ำกว่าสะดือ

เฉลย : ไส้ติ่งอักเสบ


    มีข้อที่ต้องระวังอย่างหนึ่ง คือนานๆ ครั้ง เราอาจพบคนไข้อุจจาระร่วงที่ไม่ ธรรมดา คือคนไข้เป็นโรคในอวัยวะอื่น แล้วทำให้เกิดอุจจาระร่วง เช่น คนไข้รายที่ 5 มีอาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ และกดเจ็บที่ท้องซึ่งปกติคนไข้อุจจาระร่วงจะไม่ เป็นแบบนี้ เมื่อหมอตรวจแล้วปรากฏว่าคนไข้เป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องรีบรับการผ่าตัด

    นอกจากนี้ เด็กเล็กๆ ที่เป็นปอดบวม มีหลายครั้งที่คุณแม่พาเด็กมาหาหมอเพราะ ว่ามีไข้และอุจจาระร่วง แต่หมอตรวจพบว่าเป็นปอดบวม

    โดยสรุปคนที่มีอาการอุจจาระร่วง หากถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ และไม่มีอาการรุนแรง อาจรักษาตัวเองเบื้องต้นโดยการกิน โอ-อาร์-เอส แต่ถ้ามีอาการรุนแรง หรือมีลักษณะ ของการขาดน้ำรุนแรง หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด หรือมีอาการแปลกๆ เช่น ปวดท้องรุนแรง หอบเหนื่อย เป็นต้น ควรรีบไปหาหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง